คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมทำสารพัดวิธีแล้วก็ไม่สามารถไล่นกพิราบได้ซะที บางทีหายไปพักใหญ่ไม่นานก็จะกลับมาอีก นั่นเป็นเพราะว่าคุณยังใช้วิธีไล่นกที่ไม่ถูกต้อง หรือ ไม่เหมาะสม หรือ อาจทำให้นกเรียนรู้ และปรับตัว ดังนั้น เราจึงมีตัวอย่างวิธีการไล่นกแบบต่างๆ ที่มีทั้งข้อดี–ข้อเสีย และมีแนวในการแก้ไขได้ดังนี้คือ
- วิธีการกั้นตาข่าย,ตะแกรง หรือขึงเอ็นกีดขวางนก ถ้าจะให้ได้ผล ต้องปิดกั้นในทิศทางที่นกไม่สามารถเกาะจับได้ ไม่เช่นนั้น นกก็จะทำลาย จนเข้ามาอยู่อาศัยได้อีก และยังทำให้ทัศนียภาพรอบสถานที่ของเราไม่สวยงาม
- วิธีการใช้เสียงไล่นก เช่น ปืน, ประทัด, ระเบิด ฯลฯ ซึ่งมีอนุภาพทำให้เกิดเสียงดังและเกิดแรงอัดอากาศจนสั่นสะเทือน วิธีนี้ใช้ได้ผลในชั่วคราวค่ะ เมื่อทำบ่อยๆนกก็จะเกิดความเคยชิน และปรับตัวได้
- วิธีการใช้กลิ่นไล่นก แบบต่างๆที่นกไม่ชอบ เช่น กลิ่นสกัดจากสารในเม็ดองุ่น หรือใช้เคมีที่มีผลโดยตรงกับเยื่อบุหลอดลมของนกได้แก่ การบูร, พิมเสน, ลูกเหม็น ซึ่งทำให้ระคายเคืองและมีผลต่อระบบประสาทของนก ทำให้นกคลื่นไส้ อาเจียน และเวียนศีรษะ มักจะใช้ได้เพียงระยะหนึ่ง นกก็จะปรับตัวและชิน
- วิธีการใช้กาวดักหนู เรซิ่น จารบี หรืออื่นๆ ที่มีลักษณะเหนียวๆ มาใช้ทาป้องกันนก นกจะเรียนรู้และนำกิ่งไม้มาทับหรือถ่ายมูลมาทับ แล้วมันก็มาอาศัยอยู่ตามเดิม ขณะเดียวกันกาวหรือสิ่งที่กล่าวข้างต้น มักจะไหลเยิ้ม แห้งตัว และติดแข็ง ทำให้เกิดความสกปรกเลอะเทอะ ยากต่อการทำความสะอาด
- วิธีการวางยาเบื่อ หรือ ใช้หมากดิบ คลุกกับข้าวเปลือก ต้องใช้วิธีการสอดไส้ ซึ่งทำได้ครั้งเดียว ครั้งต่อไป นกจะรู้ทัน ไม่ยอมกินอีก และนกที่ตายอาจส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว
- วิธีใช้สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น หุ่นจำลอง สิ่งสะท้อนแสงต่างๆ คลื่นแสงต่างๆ ฯลฯ ให้นกเกิดความระแวงหรือกลัว วิธีนี้ไม่สามารถทำอันตรายกับนกได้โดยตรง ที่สุดแล้ว นกก็จะเรียนรู้จนไม่กลัว และเกิดความเคยชิน หากอยากใช้ให้ได้ผลต้องลงทุนใช้แสงเลเซอร์อนุภาพสูง (ใช้กันตามสนามบิน) ซึ่งราคาสูงมาก ไม่เหมาะกับการใช้งานตามบ้านหรือโรงงานนะคะ
- วิธีการปลูกต้นไม้ บังตามทิศทางที่กำหนด สามารถใช้ขับไล่นกพิราบได้ ส่วนนกชนิดอื่นๆ ไม่สามารถใช้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากนกพิราบมักจะหาที่อยู่ที่ปลอดภัย ฉะนั้น ในจุดที่มันไม่สามารถมองเห็น เพื่อระแวดระวังภัยอันตรายจากภายนอกได้ มันจะไม่เลือกที่จะอยู่